วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2559

มาดูกันค่ะว่า ขับรถปลอดภัยในหน้าฝนทำอย่างไร

เข้าหน้าฝนกันแล้วฝนตกกระหน่ำแทบทุกวัน อีกเรื่องหนึ่งที่ควรคำนึงถึงคือ การตรวจเช็ก รถที่รักของเรา ให้พร้อมรับหน้าฝน เพื่อความปลอดภัย ในการขับขี่ช่วงหน้าฝน ลองมาดูกันนะครับว่าในหน้าฝนอย่างนี้ เราจะเตรียมความพร้อมอย่างไรให้ปลอดภัยถึงที่หมายแบบหายห่วง

หากฝนตกหนัก ไม่ควรเปิดไฟฉุกเฉิน ในกรณีที่ฝนตกหนัก ไม่สมควรที่จะเปิดไฟฉุกเฉิน เนื่องจากไฟฉุกเฉินมีไว้เพื่อกรณีฉุกเฉินเท่านั้น และจะทำให้แยกไม่ออกหากมีรถที่ได้รับอุบัติเหตุ เปิดไฟฉุกเฉินและจอดที่ข้างทาง รวมทั้งจะไม่สามารถให้สัญญาณเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน ทำให้ เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายจากการที่รถที่ตามมาด้านหลัง คาดเดาทิศทางของรถไม่ได้


ตรวจสภาพยางให้พร้อม หมั่นตรวจสภาพยางก่อนใช้งานเสมอ และแน่ใจว่าคุณได้ทำตามขั้นตอนในการบำรุงรักษาดังต่อไปนี้ เติมลมยางให้เหมาะสม ตามข้อแนะนำของบริษัทผลิตรถยนต์ ซึ่งส่วนมากจะมีสติกเกอร์ข้อมูลแนะนำความดันลมยางปิดไว้บริเวณ ขอบประตูรถ และอยู่ในคู่มือประจำรถ ขนาดความดันลมยางที่อยู่บนแก้มยางเป็นตัวเลขที่บอกความสามารถในการรับแรงดันสูงสุดของยางเส้นนั้นๆ ไม่ได้เป็นแรงดันลมที่เหมาะสมในการใช้งาน คุณควรตรวจแรงดันลมยางอย่างน้อยเดือนละครั้งตรวจความลึก
ดอกยาง ความลึกเหมาะสมของดอกยางที่เหลือ อยู่เป็นตัวป้องกันการลื่นไถล หรือการเหินน้ำ


ขับให้ช้าลง เมื่อฝนตก สิ่งสกปรกและน้ำมัน บนถนนจะรวมตัวกันทำให้ถนนลื่นทำให้รถเกิดการไถลได้ ทางที่ดีที่สุดในการหลีกเลี่ยงการลื่นไถล คือ การขับขี่ให้ช้าลง การขับขี่ที่ช้าลงทำให้ดอกยางสามารถสัมผัสถนนได้มากขึ้น ทำให้การเกาะถนนดีขึ้น

เรียนรู้ไว้ว่าต้องทำอย่างไร เมื่อเกิดการลื่นไถล ขึ้น การลื่นไถลเกิดขึ้นได้เสมอ จำไว้ว่าอย่าเหยียบเบรกอย่างรุนแรงเมื่อเกิดการลื่นไถล อย่าย้ำเบรกซ้ำ ๆ ถ้ารถของคุณมีระบบป้องกันล้อล็อกจากการเบรก (ABS) สิ่งที่ต้องทำเมื่อเกิดการลื่นไถลคือ เหยียบเบรกอย่างมั่นคง ที่ระดับความหนักที่สม่ำเสมอ และควบคุมพวงมาลัยให้อยู่ในทิศทางที่รถไถลไป

ทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้า ควรทิ้งระยะห่างจากรถคันหน้าพอสมควร เนื่องจากในสภาวะอากาศ ที่ไม่ปกติอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา การทิ้งระยะห่างจากคันหน้าจะสามารถทำให้เราเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เสมอ

เตรียมการสำหรับการเดินทาง การขับขี่บนถนนเปียกต้องการการควบคุมอย่างนุ่มนวลไม่กระแทกกระทั้น ในการบังคับเลี้ยว การเร่ง และ การเบรก เมื่อคุณขับรถในวันฝนตก รองเท้าอาจจะเปียกและลื่นออกจากแป้นคันเร่ง หรือเบรกได้ง่าย ให้เช็ดพื้นรองเท้ากับพรมรองพื้นในรถก่อนสตาร์ตเครื่องยนต์ ผู้ขับรถทุกคนควรตรวจไฟหน้ารถ ไฟท้าย ไฟเบรก และ ไฟเลี้ยวว่าสามารถ ทำงานได้ตามปกติ เมื่อถนนเปียกระยะเบรกจะเพิ่มเป็น 3 เท่า จากถนนแห้ง ดังนั้นในการขับขี่จะต้องเว้นระยะห่างจากคันหน้าให้มากขึ้น

เรียนรู้ว่าจะหลีกเลี่ยงและรับ มือกับการเหินน้ำได้อย่างไร การเหินน้ำเกิดขึ้นเมื่อปริมาณน้ำที่อยู่ที่หน้ายางรวมตัวกันมากกว่าปริมาณน้ำที่ยางสามารถไล่ออกไปได้ แรงดันของน้ำทำให้ยางยกตัวสูงขึ้นจากพื้นถนน และไถลอยู่บนฟิล์มบางๆ ของน้ำที่อยู่ระหว่างยางกับถนน ดังนั้นการเจอแอ่งน้ำตามถนนอาจจะเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ควรเตรียมพร้อมโดยการขับขี่ทั้งสองมือและประคองพวงมาลัยให้มั่นคงเมื่อคาดเดาว่าจะเจอแอ่งน้ำ เพราะการเหินน้ำจะทำให้รถสะบัดและอาจจะเปลี่ยนทิศทาง ได้ง่าย


ถ้าฝนตกหนักมากให้หยุดรถ กรณีฝนตกหนักมาก ๆ ใบปัดน้ำฝนจะไม่สามารถปัดน้ำออกได้ทัน ถ้าฝนตกหนักจนมองทางไม่ชัดหรือมองรถคันอื่นไม่ชัดในระยะห่างที่ปลอดภัย ให้จอดรถในบริเวณที่ปลอดภัย จนกระทั่งฝนซา หรือ หยุด กรณีที่ต้องจอดบนไหล่ทาง ให้จอดรถห่างจากถนนให้มากที่สุด และเปิดไฟฉุกเฉินไว้ด้วย เพื่อเตือนให้รถที่วิ่งมารู้ว่ามีรถจอดอยู่ ฝนที่ตกในช่วงแรก ถนนจะลื่นที่สุด ทำให้ การขับขี่ยากที่สุดเพราะโคลน และน้ำมันที่อยู่บนพื้นผิวจะรวมตัวกับน้ำฝน กลายเป็นชั้นผิวลื่นๆ บนพื้นถนน ดังนั้นคุณต้องเพิ่มความระมัดระวังอย่างมากในช่วงที่ฝนตก


สนใจเรียนขับรถยนต์

กับครูผู้มีประสบการณ์การสอน ครูใจเย็น ครูใจดี ครูผู้หญิง หรือท่านมีปัญหาเรื่องการสอบขอรับใบอนุญาติขับขี่ หัดขับกันเองไม่เป็น กลัวเกิดอุบัติเหตุ สอนกันไม่เข้าใจ ทะเลาะกัน มาปรึกษาเราสิคะ เขมจิรา ยินดีให้คำแนะนำทุกท่านค่ะ
โทร. 092-997-4249,063-196-4492

Line ID:  fondrivingschool
https://www.facebook.com/PrachuabDrivingSchool/
http://prachuabdrivingschool.blogspot.compot.com/

http://www.prachuabdrivingschool.com/




วันอังคารที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เอาชนะความกลัว ความกังวล ในการขับรถได้อย่างไร

สวัสดีค่ะ วันนี้ครูมีสิ่งดีๆมาแนะนำให้ทุกคนนะคะ หลายๆ ท่านกลัวการขับรถ กลัวการใช้รถ
ใช้ถนน ตกใจ ไม่มั่นใจในตัวเอง ทำให้การเรียนไม่มีประสิทธิภาพ และเรียนไปแล้วหลายท่านคิดว่าเสียเงินฟรี 

แล้วจะต้องทำอย่างไรเพื่อชนะความกลัวที่มีอยู่ในหัวของหลายๆท่าน 
ลองอ่านบทความด้านล่างนี้ดูนะคะ อ่านทุกตัวอักษร แล้วทุกคนจะเอาชนะความกลัวในหัวของเราได้ค่ะ




มาเอาชนะความกลัวในการขับรถกันค่ะ

1. เราต้องมีความมั่นใจในตัวเอง และมั่นใจในตัวครูผู้ฝึกสอน
2. ไม่เครียดไม่เกร็ง ไม่กังวลเรื่องอื่นๆ 
3. ตั้งใจฟังคำแนะนำของครูผู้สอน 
4. ปฏิบัติตามคำแนะนำของครูผู้สอนอย่างเคร่งครัด 
5. ให้กำลังใจตัวเอง คิดบวก คิดว่าเราต้องทำได้ ไม่พูดคำว่าจะทำได้หรือป่าว ยากจัง 
6. ตั้งใจฝึกซ้อมและตั้งคำถามกับผู้สอนเป็นระยะ ไม่เข้าใจตรงไหนถามได้เลยทันที 
7. ต้องทำความเข้าใจว่าแต่ละคนมีทักษะไม่เหมือนกัน เป็นช้าเป็นเร็วต่างกัน ฉะนั้นไม่เปรียบเทียบตัวเอง
   กับผู้อื่นและให้เปรียบเทียบกับตัวเราเอง ว่าการเรียนวันนี้ดีกว่าการเรียนในวันที่ผ่านมาหรือไม่ 
8. ใจเย็นๆ มีสติ และมีสมาธิในการเรียน ค่อยเป็นค่อยไป ไม่กดดันตัวเองมากเกินไป

ที่สำคัญที่สุดคือข้อ 5 คิดบวกและให้กำลังใจตัวเองตลอดเวลา สำคัญอย่างไรมาดูประวัติของครูกันค่ะ

ตัวอย่างที่1.  ครู ชื่อเขมจิรา จันทรแก้ว เป็นคนจังหวัดประจวบโดยตรงแต่ไม่เคยได้มีโอกาสได้ทำงานในบ้านเกิดของตนเอง เรียนจบปวช. ที่วิทยาลัยการอาชีพบางสะพาน ในสาชาวิชา การบัญชี และเลือกเรียนในระดับ
ปวส. สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ ด้วยเหตุผลเล็กๆ ตามประสาวัยรุ่นว่า "การบัญชีน่าเบื่อไม่ชอบ" และเรียนภาษาอังกฤษในเกรดต่ำสุดในห้องเรียน ก็เพราะความไม่ชอบอีกเช่นกัน แต่รู้หรือไม่คะ ในที่สุด 

#งานครั้งแรกในชีวิต ก็ได้ทำงานในแผนกการบัญชี และเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับชาวช่างชาติทันที  วันแรกที่ทำงานเต็มไปด้วยความกลัว หลีกเลี่ยงการพูดคุยและใช้ภาษาอังกฤษตลอดแต่ด้วยเนื้องานต้องใช้ภาษาอังกฤษไม่ว่าจะเป็นการพูด การส่งเมลล์ การพิมพ์เอกสาร ต้องใช้ภาษาอังกฤษ 90 % ของงานทั้งหมด ครูก็ต้องเริ่มพัฒนาตัวเอง หาหนังสือมาอ่าน และต้องกล้าที่จะสนทนาภาษาอังกฤษให้มากขึ้น การฝึกฝนไม่มีการถูกต้องเสมอไป พูดถูกบ้าง ผิดบ้าง "คิดเสมอว่าถ้าเราทำไม่ได้เราก็คงไม่ได้เงินเดือน เมื่อไม่ได้เงินเดือนเราก็ไม่มีเงิน"  เมื่อไม่มีเงิน แล้วชีวิตของเรา ของครอบครัว ทุกคนที่อยู่ข้างหลังจะทำอย่างไร ดังนั้นสถานการณ์บังคับ ทำให้ต้องเอาความกลัวออกไป แล้วก็สามารถสนทนา และทำเอกสารต่างๆ เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดในที่สุด 




ตัวอย่างที่ 2 ครูเป็นคนที่ไม่กล้าแสดงออกตั้งแต่เด็กๆ สือสารอะไรให้คนอื่นไม่เข้าใจ เวลาครูประจำชั้นสั่งให้ทำรายงานจะเป็นคนพิมพ์แล้วให้เพื่อนในกลุ่มออกไปพูดหน้าชั้นเรียนตลอด มาวันหนึ่งเกิดวิกฤตกับชีวิตตัวเอง ต้องออกไปรับงานเพิ่มเพื่อหารายได้เพิ่มเติม และงานนั้นก็เป็นงานที่ยากสำหรับครูอีกแล้ว "นำทัวร์" พาลูกทัวร์เดินทางไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ที่บริษัทจัดขึ้น หน้าก็คือต้อง เอ็นเตอร์เทรน ลูกทัวร์ ต้องพูดออกไมค์ ต้องประชาสัมพันธ์ ต้องแสดงออกต้องขึ้นเวที ต้องไปร้องเพลงให้ลูกค้าฟัง ต้องนำลูกทัวร์ทำกิจกรรมต่างๆ ต้องออกไปเต้นแร้งเต้นกา

โอ้มันช่างยากมากสำหรับครูที่ไม่เคยแม้แต่จะออกไปพูดหน้าชั้นเรียน แต่ก็ต้องทำต้องเอาความกลัวนั้นออกไป เพราะถ้าเราไม่มีความสามารถตรงนี้ เราก็ทำงานนี้ไม่ได้ เราก็ไม่ได้เงิน เราก็ผ่านวิกฤติไปไม่ได้ "นี่คือวิกฤตเป็นโอกาสทำให้เราเอาชนะความกลัวออกไปได้ค่ะ"

ครูต้องขึ้นร้องเพลงบนเวทีให้ลูกค้าฟัง ตามคำขอของลูกค้า


ครูต้องดูแลลูกทัวร์และบรรยายสถานที่ต่างๆที่ครูจะพาลูกทัวร์ไป ทั้งๆ ที่ครูไม่ได้เรียนไกด์มา ไม่มีความรู้เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวนะคะ 

ครูต้องขึ้นเวทีร้องเพลงคู่กับลูกค้าตามคำขอของลูกค้า เด็กหลังห้องต้องขึ้นเวทีร้องเพลง นักเรียนลองนึกนะคะ ว่าครูทำได้อย่างไร


ตัวอย่างที่ 3 สืบเนื่องจากครูเป็นคนสื่อสารอะไรไม่ค่อยเข้าใจ สังเกตุจากการอธิบายงานให้ผู้บังคับบัญชา หรือเพื่อนร่วมงานฟัง ทุกคนจะไม่เข้าใจแล้วก็ทำให้ครูต้องอธิบายหลายรอบกว่าทุกคนจะเข้าใจ แต่เมื่อถึงวันหนึ่งที่ครูได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนของแผนก ในการฝึกอบรมพนักงานด้วยกัน และพนักงานใต้บังคับบัญชา และต้องสรุปการฝึกอบรมและต้องสรุปผลรายงานผลต่อที่ประชุมทุกๆ เดือน ทำให้ครูก็ต้องทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายตรงนี้ให้ดีที่สุด ต้องกล้าแสดงออก กล้าพูด กล้าที่จะเรียนรู้วิธีการพูด ว่าจะพูดอย่างไร สอนอย่างไรให้เพื่อนร่วมงานและผู้ใต้บังคับบัญชาเข้าใจ กล้าที่จะออกไปอยู่หน้าห้องประชุม เพื่อพรีเซ้นต์งาน แล้วครูก็ทำมันได้



ตัวอย่างที่ 4 การฝึกหัดขับรถของตัวครูเอง ยอมรับเลยว่ายากมาก ครั้งแต่เป็นคุณแม่ของครูเองที่เป็นสอนให้ ฝึกหัดจากเกียร์ธรรมดา แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ ต่อมาน้องสาวก็สอนให้อีก แต่เนื่องจากขาดการฝึกฝนเพราะไม่มีรถฝึกหัดเองทำให้การเรียนก็ไม่ได้ผลอีกเช่นเดิม จนกระทั่งได้ไปเรียนขับรถมา 1 คอร์ส ได้รับใบขับขี่มา แต่ก็ยังขับไม่ได้ ขับได้แค่งูๆ ปลาๆ และขับได้แต่เกียร์ออโต้ และครูก็คิดในใจเสมอว่า ชาตินี้ครูคงขับรถเกียร์ธรรมดาไมไ่ด้แน่ๆ แล้วครูก็ได้ซื้อรถกะบะเกียร์ออโต้ออกมาด้วยความคิดว่าอยากมีรถกะบะ แต่ทำไงละ ในเมื่อขับไม่ได้ บังเอิญรถรุ่นใหม่ๆ มีเกียร์ออโต้แล้ว ก็เลยได้มีความหวังว่า ออโต้ก็ได้ ขับได้แบบไหนก็ซื้อแบบนั้น 



ครูต้องขอบคุณนักเรียนทุกคนและทุกๆ เหตุการณ์ที่ผ่านเข้ามาในแต่ละช่วงของชีวิตที่ทำให้ครูกล้าที่จะพัฒนาตัวเองให้เก่ง แกร่ง และ ครูสัญญาว่า ครูจะดูแลลูกศิษย์ทุกคนของครูอย่างดีที่สุด



ที่เล่ามาทั้งหมดขอให้เป็นแนวคิดกับทุกคนนะคะ คนเราเกิดมาไม่ได้ทำอะไรเก่งไปซะทุกอย่าง แต่คนเราจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ อยู่ที่การฝึกฝน อยู่ที่การพัฒนา ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้นะคะ ทุกคนสามารถทำทุกอย่างได้ ในโลกนี้ไม่มีคนเก่ง หรือคนไม่เก่งค่ะ มีแต่คนที่ลงมือทำลงมือฝึกฝนจำสำเร็จกับคนที่ไม่ลงมือทำไม่ฝึกฝนแล้วก็ไม่สำเร็จค่ะ

คิดบวก และ ฝึกฝนต่อเนื่องค่ะ ทำได้ทุกคน




สนใจเรียนขับรถยนต์

กับครูผู้มีประสบการณ์การสอน ครูใจเย็น ครูใจดี ครูผู้หญิง หรือท่านมีปัญหาเรื่องการสอบขอรับใบอนุญาติขับขี่ หัดขับกันเองไม่เป็น กลัวเกิดอุบัติเหตุ สอนกันไม่เข้าใจ ทะเลาะกัน มาปรึกษาเราสิคะ เขมจิรา ยินดีให้คำแนะนำทุกท่านค่ะ
โทร. 092-997-4249,063-196-4492

Line ID:  fondrivingschool
https://www.facebook.com/PrachuabDrivingSchool/
http://prachuabdrivingschool.blogspot.compot.com/

http://www.prachuabdrivingschool.com/

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เคล็ดลับการเติมน้ำมันและเคล็ดลับประหยัดน้ำมัน


ไม่ควรเติมน้ำมันรถยนต์เต็มถังและเคล็ดลับประหยัดน้ำมัน
พวกเราส่วนใหญ่ไม่ค่อยตระหนักว่าสายส่งน้ำมันนั้นมีท่อส่งกลับน้ำมัน (สีดำ) เมื่อน้ำมันเต็มถัง (ในรถยนต์) ลิ้นหัวจ่ายน้ำมันที่ตัวปั๊มจ่ายน้ำมันจะถูกปิดและขณะเดียวกันนั้นวาลว์ส่งกลับน้ำมันที่ตัวปั๊มนั้นจะเปิดเพื่อให้น้ำมันในท่อส่งน้ำมัน (ตำแหน่งบนสุดของปั๊มน้ำมัน) ไหล กลับคืนเข้าสู่ถังน้ำมัน แต่น้ำมันที่ค้างในหัวจ่ายนั้นได้ผ่านมิเตอร์แล้ว นั่นแสดงว่าคุณกำลังบริจาคน้ำมันที่ค้างในท่อจ่ายน้ำมันคืนให้กับผู้จำหน่าย 

เคล็ดลับประหยัดน้ำมัน

1. ควรเติมน้ำมันเมื่อน้ำมันในรถเหลือครึ่งถัง (แหล่งข้อมูลบางแห่งแนะนำว่า เติมน้ำมันแค่ครึ่งถังก็พอ จะได้ลดน้ำหนักบรรทุกและประหยัดน้ำมัน ทั้งนี้และทั้งนั้น ขอให้ผู้อ่านใช้วิจารณญาณตัดสินเอาเองก็แล้วกัน―หมายเหตุผู้แปล) เหตุผลคือ น้ำมันบรรจุในถังยิ่งมาก เนื้อที่ว่างสำหรับไอระเหยก็ยิ่งน้อย เพราะน้ำมันระเหยเป็นไอเร็วกว่าที่คุณคาดคิด

2. จงเติมน้ำมันตอนเช้าขณะที่อุณหภูมิบนพื้นดินยังเย็นอยู่ อย่าลืมว่าปั๊มน้ำมันทุกแห่งมีถังน้ำมันฝั่งอยู่ใต้ดิน เมื่อพื้นดินยิ่งเย็น น้ำมันยิ่งควบแน่น เมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น น้ำมันก็จะขยายตัวตาม ดังนั้น หากเติมน้ำมันช่วงบ่ายหรือเย็น คุณจ่ายค่าน้ำมัน 1 แกลลอน แต่ได้มาไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย ธุรกิจค้าน้ำมัน ไม่ว่าจะเป็นน้ามันเบนซิน ดีเซล น้ำมันสำหรับเครื่องบิน เอทานอล หรือผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมอื่นๆ อุณหภูมิและความถ่วงจำเพาะ มีบทบาทสำคัญ อุณหภูมิเพิ่มขึ้นเพียง 1 องศา หมายถึงเงินมหาศาลในธุรกิจนี้ แต่ปั๊มน้ำมันไม่มีการชดเชยอุณหภูมิให้ลูกค้า

3. ขณะเติมน้ำมัน อย่าให้เด็กปั๊มตั้งหัวฉีดอยู่ในตำแหน่งไหลเร็ว (ในอเมริกาเจ้าของรถต้องลงมือเติมเอง) หากคุณสังเกต จะเห็นว่ากลไกเหนี่ยวมี 3 ระดับ คือ low, middle, และ high เมื่อตั้งในระดับไหลช้า จะเกิดไอระเหยของน้ำมันน้อยที่สุด หากตั้งในระดับไหลเร็ว น้ำมันบางส่วนจะกลายเป็นไอระเหย และถูกสูบย้อนกลับไปยังถังใ้ต้ดิน นั่นหมายถึงคุณจ่ายเงินมากกว่าที่ควร

4. ข้อเตือนใจอีกข้อหนึ่ง ขณะที่คุณขับรถเข้าปั๊มถ้าเห็นรถบรรทุกกำลังถ่ายน้ำมันเข้าสู่ถังเก็บใต้ดิน จงอย่ารีบร้อนเติมน้ำมันช่วงเวลานั้น เพราะตอน "ลงของ" สิ่งแปลกปลอม ซึ่งปรกติจะตกตะกอนอยู่ใต้ถัง ถูกปั่นป่วนจนลอยตัว หากคุณเติมน้ำมันช่วงเวลานั้น อาจมีโอกาสดูดเอาสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่รถคุณได้

วิธีที่ดีที่สุดในการขับรถประหยัดน้ำมันคือ

1 ขับรถที่ความเร็ว 90-100 กม/ชม หรืออาจจะต่ำกว่านี้ แต่ต้องเลือกใช้เกียร์ให้เหมาะสม
2 ควรเปลี่ยนเกียร์ที่รอบเครื่อง 2000-2500 รอบ อย่าลากเกียร์

ประมาณนี้แหละครับ จะประหยัดได้มากกว่า ทดลองมาแล้วค่ะ จากเมื่อก่อนขับได้ 9-10 กม /ลิตร เดี๋ยวนี้ทำตามสองข้อที่ผมบอกไว้ด้านบนทำได้ 13-14 กม /ลิตรเลยทีเดียว



สนใจเรียนขับรถยนต์

กับครูผู้มีประสบการณ์การสอน ครูใจเย็น ครูใจดี ครูผู้หญิง หรือท่านมีปัญหาเรื่องการสอบขอรับใบอนุญาติขับขี่ หัดขับกันเองไม่เป็น กลัวเกิดอุบัติเหตุ สอนกันไม่เข้าใจ ทะเลาะกัน มาปรึกษาเราสิคะ เขมจิรา ยินดีให้คำแนะนำทุกท่านค่ะ
โทร. 092-997-4249,063-196-4492

Line ID:  fondrivingschool
https://www.facebook.com/PrachuabDrivingSchool/
http://prachuabdrivingschool.blogspot.compot.com/

http://www.prachuabdrivingschool.com/

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

7 ข้อควรรู้ในการขับรถระบบเกียร์ออโต้ให้ถูกต้องและปลอดภัย


วันนี้เรามีเคล็ดลับของการขับรถเกียร์ออโต้มาเปิดเผย เพื่อให้คุณปลอดภัย แถมยังประหยัดเงินได้อีกด้วย จะเป็นอย่างไรนั้น ตามมาอ่านกันได้เลย

ปัจจุบัน รถยนต์ในตลาดเมืองไทยส่วนใหญ่มักใช้ระบบเกียร์อัตโนมัติหรือที่เรียกติดปากกันว่าเกียร์ออโต้ ซึ่งอำนวยความสะดวกให้กับผู้ขับขี่เพราะระบบจะเปลี่ยนเกียร์ให้อัตโนมัติ โดยมีตำแหน่งของเกียร์ในการขับเคลื่อนรถยนต์ดังนี้

1. ตำแหน่ง P ใช้สำหรับจอดรถในตำแหน่งที่ไม่กีดขวางรถคันอื่นหรือจอดในบริเวณที่ลาดชัน

2. ตำแหน่ง R ใช้ในการถอยหลัง เป็นตำแหน่งที่อันตรายมากที่สุด  ให้เหยียบเบรกทุกครั้งที่เข้าเกียร์ เพื่อให้รถถอยหลังอย่างช้า ๆ

3. ตำแหน่ง N เป็นตำแหน่งเกียร์ว่าง ใช้ในการหยุดรถชั่วคราวหรือจอดรถในตำแหน่งที่กีดขวางเส้นทางจราจร

4. ตำแหน่ง D ใช้ในการขับขี่เพื่อเดินหน้ารถตามปกติ

5. ตำแหน่ง 2 ใช้สำหรับการขับขี่ขึ้นทางลาดชันที่ไม่สูงมากนัก และสามารถใช้ความเร็วได้พอสมควร

6. ตำแหน่ง L ใช้สำหรับการขับขี่ขึ้นทางลาดชันที่สูงมาก และต้องใช้ความเร็วต่ำ

ข้อควรปฏิบัติในการใช้รถเกียร์ออโต้

หลังทำความรู้จักกับตำแหน่งเกียร์แล้วยังมีเกร็ดน่ารู้ต่างๆ ในการขับรถเกียร์อัตโนมัติให้ปลอดภัยอีกไม่ว่าจะเป็น…

1. ก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ควรตรวจสอบให้เกียร์อยู่ในตำแหน่ง P และสตาร์ทเครื่องยนต์ในขณะที่เกียร์อยู่ในตำแหน่ง P เท่านั้น เพราะหากคันเกียร์คร่อมอยู่ในตำแหน่ง  P – R  แรงสั่นสะเทือนจากการสตาร์ทเครื่องยนต์  อาจทำให้เกียร์ดีดไปเข้าเกียร์ R ทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

2. ในการขับรถลงทางลาดชัน ต้องใช้เกียร์ตำแหน่ง D3 หรือ “2” (แล้วแต่ความลาดชัน)
 แต่กรณีที่ทางลงนั้นชันมาก ๆ ให้เลื่อนเกียร์ไปที่ตำแหน่ง “L” เพื่อใช้เครื่องยนต์ช่วยเบรก (Engine Brake) ในขณะเดียวกันคุณควรเหยียบเบรกไปด้วย หรืออาจใช้เบรกมือ เพื่อช่วยในการหยุดรถที่ดียิ่งขึ้น

3. ห้ามใช้เกียร์ “N” หรือ “D4” ในการขับรถลงทางชันมากๆ เพราะกำลัวงเครื่องยนต์ไม่พอ อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้

4. การจอดรถแล้วไม่ดับเครื่องยนต์ในสถานการณ์ต่างๆ เช่น จอดรถเพื่อไปลงเปิดประตูบ้านหรือไปซื้อของริมถนน ไม่ควรใช้ตำแหน่ง N แต่ควรใช้ตำแหน่ง P และใส่เบรคมือทุกครั้งเพื่อป้องกันไม่ให้รถพุ่งไปข้างหน้า

5. หากต้องการเปลี่ยนเกียร์ไปตำแหน่งอื่น เช่น จากตำแหน่ง  N  ไป  D  หรือ  R ต้องทำในขณะที่รถยนต์จอดสนิท และควรเหยียบเบรกป้องกันกันรถเคลื่อน

6. หากหยุดในชั่วแค่ 2-3 นาที ก็ควรอยู่ที่ตำแหน่ง D โดยแตะเบรกแทน แต่หากหยุดนานเกินกว่านี้ค่อยเปลี่ยนเป็น N และต้องการป้องกันรถไหลก็ใส่เบรคเบรกมือด้วย

7.เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุกๆ 2 หมื่นกิโล  จะช่วยยืดอายุการทำงานของระบบเกียร์ได้เพราะสภาพอากาศที่ร้อนจัดและการจราจรติดขัดในกรุงเทพฯ ทำให้รถยนต์ต้องวิ่งๆ หยุดๆ แรงดันน้ำมันสูง-ต่ำไม่คงที่ในระบบเกียร์สูงจากอุณหภูมิเฉลี่ยที่สูง

สนใจเรียนขับรถยนต์

กับครูผู้มีประสบการณ์การสอน ครูใจเย็น ครูใจดี ครูผู้หญิง หรือท่านมีปัญหาเรื่องการสอบขอรับใบอนุญาติขับขี่ หัดขับกันเองไม่เป็น กลัวเกิดอุบัติเหตุ สอนกันไม่เข้าใจ ทะเลาะกัน มาปรึกษาเราสิคะ เขมจิรา ยินดีให้คำแนะนำทุกท่านค่ะ
โทร. 092-997-4249,063-196-4492

Line ID:  fondrivingschool
https://www.facebook.com/PrachuabDrivingSchool/
http://prachuabdrivingschool.blogspot.compot.com/

http://www.prachuabdrivingschool.com/

วันพฤหัสบดีที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

ประโยชน์ของใบขับขี่

         ใบอนุญาติขับขี่ หรือ ใบขับขี่ มีประโยชน์โดยตรงในการใช้เป็นเอกสารหลักฐานยืนยันว่า บุคคลผู้เป็นเจ้าของใบอนุญาติ เป็นผู้มีความสามารถในการขับขี่รถประเภทที่กำหนดในใบอนุญาติได้จริง โดยผ่านการทดสอบจากกรมการขนส่งทางบกเรี่ยบร้อยแล้ว หากไม่มีใบอนุญาติขับขี่ ถือเป็นความผิดตามกฏหมายทันที



       นอกจากนี้ ใบขับขี่ยังเกี่ยวข้องกับการประกันภัยอีกด้วย กล่าวคือ หากรถที่ทำประกันเกิดอุบัติเหตุใดๆ ขึ้น ผู้ขับขี่สามารถใช้ใบอนุญาติเป็นเอกสารหลักฐานในการเรียกร้องสินไหมทดทนจากบริษัทผู้รับประกันได้ แต่หากไม่มีใบอนุญาติขับขี่ หรือมีใบอนุญาติขับขี่ผิดประเภท บริษัทประกันต่างๆ อาจใช้เป็นข้อยกเว้นความรับผิดชอบได้


สนใจเรียนขับรถยนต์

กับครูผู้มีประสบการณ์การสอน ครูใจเย็น ครูใจดี ครูผู้หญิง หรือท่านมีปัญหาเรื่องการสอบขอรับใบอนุญาติขับขี่ หัดขับกันเองไม่เป็น กลัวเกิดอุบัติเหตุ สอนกันไม่เข้าใจ ทะเลาะกัน มาปรึกษาเราสิคะ เขมจิรา ยินดีให้คำแนะนำทุกท่านค่ะ
โทร. 092-997-4249,063-196-4492

Line ID:  fondrivingschool
https://www.facebook.com/PrachuabDrivingSchool/
http://prachuabdrivingschool.blogspot.compot.com/

http://www.prachuabdrivingschool.com/

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

40 เรื่องน่าสนใจเกี่ยวกับการขับรถยนต์ที่คุณควรทราบ

หากคุณไม่อยากเสียค่าซ่อมรถแพง ๆ หรือต้องการพัฒนาทักษะการขับรถ รวมทั้งเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนนวันนี้เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับเรื่องรถฉบับจัดเต็มมาฝากคุณ ถ้างั้นลองไปดูพร้อม ๆ กันเลยว่าจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง


1. ขจัดสิ่งรบกวน 
          เหมือนกับที่ครูสอนขับรถมักจะบอกย้ำ ๆ อยู่เสมอว่ามือของคุณจะหมุนไปตามทิศทางเดียวกับที่คุณหันไปมอง แค่คุณเปลี่ยนช่องวิทยุก็ใช้เวลา 5.5 วินาทีแล้ว ซึ่งนั่นเป็น 5.5 วินาที ที่คุณได้ละสายตาไปจากถนนและมือทั้งสองของคุณก็ไม่ได้อยู่บนพวงมาลัย แค่กดโทรศัพท์มือถือก็ทำให้คุณมีความเสี่ยงที่จะขับรถชนมากกว่าปกติถึง 3 เท่า หรือเพียงหันไปจับอะไรก็ตามที่เคลื่อนไหว คุณก็มีความเสี่ยงที่จะขับรถชนมากกว่าปกติ ถึง 9 เท่า ที่ร้ายที่สุดคือ การส่ง SMS ซึ่งทำให้คุณต้องเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุมากกว่าปกติถึง 23 เท่า ทางที่ดีคุณควรลงทุนติดตั้งระบบแฮนด์ฟรีพร้อมบลูทูธไว้ใช้ในรถ และส่ง SMS เฉพาะเวลาที่คุณจอดรถแล้วเท่านั้น

2. สาดโค้งบนทางดิน 
          รีส มิลเลน สตั๊นท์แมนขับรถผาดโผนบอกว่าการสไลด์ไปข้าง ๆ เป็นวิธีทำเวลาที่เร็วที่สุดในการสาดโค้งบนทางดิน เขาแนะนำให้เริ่มต้นสไลด์ผ่านการบังคับพวงมาลัยให้ท้ายปัดออกนอกโค้ง (ที่เรียกว่าโอเวอร์สเตียร์ในการเข้าโค้ง) แล้วหมุนพวงมาลัยไปในทิศทางตรงกันข้ามกับโค้งเพื่อเบรคไม่ให้ท้ายปัด หลังจากนั้นให้หักกลับมาในทิศทางตรงกันข้ามเพื่อสไลด์ไปในทิศทางที่คุณจะไป พอรถเริ่มสไลด์ก็ควบคุมโดยการเหยียบคันเร่งเพิ่มหรือผ่อนคันเร่ง การเหยียบคันเร่งมากหรือน้อยช่วยควบคุมมุมที่เข้าโค้งให้กว้างหรือแคบ ยิ่งเร่งมากจะยิ่งทำให้รถสาดไปข้าง ๆ มากขึ้น ถ้าคุณผ่อนเท้าออกจากคันเร่ง รถก็ยังสาดไปอยู่ตามแรงต้น แต่ความเร็วจะเริ่มลดลงและเข้าสู่ทางตรงอีกครั้ง ควรทดลองสาดโค้งแบบนี้บนทางที่มีดินเยอะ ๆ และไม่มีต้นไม้

3. มีสมาธิ 
          ข้อมูลจากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Human Perception and Performance ระบุว่า การจ้องมองถนนทางตรงเป็นเวลานานกว่า 5 นาที ทำให้สมองของคุณล้า ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้คุณขับรถเร็วและประมาทในการกะระยะระหว่างรถคุณและคันหน้า ให้คุณคอยดูกระจกมองหลังทั้งกระจกตรงกลางซ้ายและขวา รวมทั้งหน้าปัดความเร็วทุกครั้งที่เพลงจบวิธีนี้จะช่วยให้สายตาและสมองทำงานได้ว่องไวขึ้น

4. ข้ามน้ำหรือลำธาร 
          อย่าขับรถลุยลงไปในน้ำหากน้ำสูงกว่ากระจังหน้ารถซึ่งเป็นบริเวณที่มีการดูดอากาศจากภายนอกเข้ามาในเครื่องยนต์ ให้ขับรถลงน้ำตรงจุดที่กระแสน้ำดูไม่แรงเกินไปโดยขับทแยงลงไปเพื่อให้มีพื้นผิวที่จะต้องปะทะกับกระแสน้ำน้อยที่สุด ค่อย ๆ ขับลงไปในน้ำโดยเร่งความเร็วพอสมควร ความเร็วที่พอเหมาะจะทำให้เกิดระลอกคลื่นซึ่งช่วยผลักดันน้ำออกไป น้ำในบริเวณหน้ารถจึงตื้นขึ้น จากนั้นให้คอยควบคุมความเร็วรถให้สม่ำเสมอ

5. ลดระดับเบาะที่นั่ง 
          เวลานั่งขับรถอยู่บนเบาะที่ปรับให้สูง จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนขับรถช้ากว่าปกติ ด้วยเหตุนี้ผู้ขับขี่รถเอสยูวีซึ่งเป็นรถที่มีความเสี่ยงที่จะหมุนได้ง่ายอยู่แล้ว จึงมักขับรถเร็วกว่าคนที่ขับรถประเภทอื่น เพราะเข้าใจว่ารถตัวเองกำลังคลานไปช้า ๆ ดังนั้นเจ้าของรถเอสยูวี ควรจะปรับเบาะที่นั่งให้ต่ำลงเพื่อที่จะได้รับรู้ความเร็วที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น แต่อย่าปรับลดระดับเบาะที่นั่งลงมาจนต่ำสุด ๆ เหมือนนักขับรถซิ่งทั้งหลายที่ชอบหมุนรถโชว์ก็แล้วกัน อย่าลืมนะว่าคุณไม่ได้เป็นหนุ่มนักซิ่ง

 6. เพิ่มแรงม้า 
          หากคุณเป็นเจ้าของรถที่มีเทอร์โบมาพร้อม คุณคงไม่ต้องการอะไรมากไปกว่า การปรับแต่งโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อเพิ่มแรงม้า ไม่ว่าคุณจะขับรถเบนท์ลีย์ทวินเทอร์โบ หรือโฟล์คสวาเกนเครื่องยนต์ดีเซล 1.8 ลิตร ที่แสนจะธรรมดา ลองเสียเวลาแค่ไม่กี่นาทีให้ช่างปรับตั้งกล่องควบคุม รถคุณก็จะมีแรงม้าเพิ่มขึ้นได้ถึง 20 เปอร์เซ็นต์

7. คืนชีวิตให้กับแบตเตอรี่
          ถ้าสตาร์ทรถไม่ติดเพราะขั้วแบตเตอรี่เต็มไปด้วยตะกรันสนิม เพียงเปิดกกระป๋องโค้ก แล้วราดลงไปบนขั้วแบตเตอรี่ กรดในน้ำโค้กจะช่วยชะล้างตะกรัน ทำให้สามารถต่อและส่งกระแสไฟในการจั๊มป์สตาร์ทได้สำเร็จ เมื่อคุณกลับถึงบ้านให้เอาน้ำฉีดที่ขั้วแบตเตอรี่เพื่อล้างคราบน้ำโค้กที่ติดอยู่ แล้วใช้ผ้าเช็ดน้ำให้แห้ง

8. งดของหวาน 
          ถ้าคุณไม่อยากเผชิญหน้ากับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำซึ่งทำให้รู้สึกง่วงเวลาที่ขับรถ โมนีค ไรอันนักโภชนาการ ผู้แต่งหนังสือ Sport Nutrition for Endurance Athletes แนะนำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดด้วยการกินอาหารที่มีไฟเบอร์สูงอย่างลูกแพร์หรือแอปเปิล และดื่มน้ำเปล่า

9. หาแผ่นรองหลังมาหนุน 
          ถ้าพนักพิงหลังในรถคุณไม่สามารถปรับความแข็ง-อ่อนได้ ให้ซื้อแผ่นรองหลังมาเสริมหรือจะให้ง่ายกว่านั้นก็แค่ม้วนผ้าเช็ดตัวและนำมาหนุนตรงที่มีช่องว่างระหว่างบั้นเอวกับเบาะก็โอเคแล้ว ยิ่งคุณประคองกระดูกสันหลังได้มากเท่าไรโอกาสที่จะปวดหลังยิ่งมีน้อยลงเท่านั้น



10. กำจัดของที่ไม่จำเป็นลงจากรถ 
          เมื่อลดน้ำหนักบรรทุกของลงได้ทุก ๆ 50 กิโลกรัม รถคุณจะประหยัดน้ำมันลงไป 1-2 เปอร์เซ็นต์ให้เคลียร์ของในที่กระโปรงท้ายและเบาะหลังก่อนที่จะออกจากบ้าน และถ้ารถคุณมีตะแกรงบรรทุกสัมภาระบนหลังคาแต่ไม่ใช้ก็แค่ถอดออกซึ่งจะช่วยประหยัดน้ำมันลงได้ถึง 5 เปอร์เซ็นต์

11. เคลียร์กระเป๋ากางเกง 
          โดยเฉลี่ยผู้ชายใช้เวลาขับรถวันละ 67 นาที ดังนั้นการที่คุณยัดกระเป๋าตังค์บวม ๆ ไว้ในกระเป๋ากางเกงที่อยู่ข้างหลังจะทำให้สะโพกสองข้างหนาไม่เท่ากัน เวลานั่งบนเบาะกระดูกสันหลังก็เลยคดและส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก นอกจากนี้สจ็วร์ต แมคกิจ อาจารย์มหาวิทยาลัยวอเตอร์ลู ออนแทรีโอ บอกว่า การใส่ของหนา ๆ เข้าไปในกระเป๋ากางเกงยังเป็นการเพิ่มแรงกดลงบนเส้นประสาทบริเวณกระดูกสะโพกซึ่งเป็นสาเหตุของอาการปวดหลัง

12. คาดเข็มขัดนิรภัย 
          ผู้ชาย 1 ใน 5 คนเข้าใจว่าเมื่อรถมีถุงลมนิรภัยแล้วก็ไม่ต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ทั้ง ๆ ที่ความจริงการไม่คาดเข็มขัดนิรภัยอาจทำให้ถุงลมนิรภัยกลายเป็นเพชฌฆาตที่คร่าชีวิตคนได้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ของมหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์กได้วิจัยข้อมูลย้อนหลัง 12 ปีจากอุบัติเหตุรถยนต์ที่ถุงลมนิรภัยทำงาน พบว่าผู้ขับขี่รถยนต์ที่ไม่คาดเข็มขัดนิรภัยมีโอกาสบาดเจ็บที่คอและกระดูกสันหลังมากกว่าผู้ขับขี่รถยนต์ที่คาดเข็มขัดถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ทีมนักวิทยาศาสตร์อธิบายว่าถ้าคุณไม่คาดเข็มขัดขณะที่รถชน หัวของคุณจะพุ่งไปอัดกับถุงลมนิรภัยซึ่งถูกดันออกมาด้วยความเร็ว 322 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

13. ปรับแอร์ให้เป็นแบบหมุนเวียน
          การปิดแอร์ช่วยประหยัดน้ำมันเฉพาะเวลาที่คุณขับรถในเมือง แต่ถ้าคุณต้องขับรถบนไฮเวย์ การเปิดหน้าต่างขับรถยิ่งทำให้รถวิ่งได้ช้า ซึ่งส่งผลให้รถคุณยิ่งกินน้ำมันมากขึ้น ทางที่ดีคุณควรปรับระบบแอร์ให้เป็นแบบหมุนเวียนโดยใช้อากาศเย็นที่ได้รับการปรับอุณหภูมิแล้วภายในห้องโดยสาร วิธีนี้ช่วยประหยัดพลังงานลงได้มากกว่าเพราะแอร์ไม่ต้องทำงานหนักในการปรับอากาศร้อนจากภายนอกตลอดเวลา

 14. ประหยัดคลัทช์ 
          อย่าเหยียบคลัทช์ค้างไว้นานก่อนที่จะเปลี่ยนเกียร์ คุณจะเร่งสปีดรถได้ดีกว่าและถนอมรักษาคลัทช์ไว้ให้มีอายุใช้งานได้นาน หากคุณรู้จักใช้คลัทช์อย่างประหยัด

15. ใช้พนักพิงศีรษะ 
          ก่อนที่จะออกรถให้คุณนั่งหลังตรงแล้วยืดศีรษะขึ้นให้สูงที่สุดพร้อม ๆ กับดันศีรษะไปที่พนักพิง ทำท่านี้ค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นค่อยผ่อนคลายลง ทำซ้ำทั้งหมด 5 ครั้ง วิธีนี้จะช่วยปรับท่านั่งขับรถของคุณให้ถูกต้องขึ้น และช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อหลังให้ทำงานและปรับกระดูกสันหลังให้ตรงคุณจึงไม่เมื่อยคอขณะขับรถ

16. แต่งรถให้สวย 
          ถ้าคุณอยากแต่งรถใหม่ให้ดูไม่เวอร์ควรเริ่มต้นด้วยการเปลี่ยนล้อแม็กซ์ นอกจากค่าใช้จ่ายจะไม่สูงแล้วยังรวดเร็วอีกด้วย แถมคุณก็ไม่ต้องเอารถไปทิ้งไว้ให้ทำนานเป็นอาทิตย์ ถ้ารถของคุณเป็นรุ่นหรูอยู่แล้ว คุณอาจจะไม่ต้องเปลี่ยนแม็กซ์ด้วยซ้ำ ลองเปลี่ยนสีล้อด้วยการทำสีพาวเดอร์โค้ดแค่นี้ก็ดูดีแล้ว

          ซื้อรถอย่างไรให้คุ้มค่า

17. ถามหารถทดลองขับ
          หากต้องการซื้อรถมือสอง รถตัวอย่างที่โชว์รูมใช้สำหรับให้ลูกค้าทดลองขับก็น่าสนใจไม่น้อย เพราะรถพวกนี้จะไม่ได้ถูกใช้งานไปมากนักก่อนที่จะขาย และยังมีการเก็บข้อมูลอย่างดีเนื่องจากโชว์รูมจะต้องขายรถพวกนี้ออกไปเมื่อครบกำหนดเวลาหรือระยะการใช้งาน รถมือสองที่วิ่งน้อยและมีบันทึกการใช้งานจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุ้มค่า

 18. เตรียมตัวให้พร้อม 
          ก่อนที่จะไปโชว์รูมขายรถ อย่าลืมทำการบ้านเรื่องเงื่อนไขการผ่อนชำระและเช็คเครดิตของคุณไปให้พร้อมก่อน และอย่าเลือกผ่อนชำระนานกว่าระยะเวลาที่คุณตั้งใจจะใช้รถคันนั้น โดยทั่วไปหากยอดผ่อนรายเดือนที่คุณจ่ายไหวทำให้คุณต้องผ่อนเกิน 4 ปี แปลว่ารถคันนั้นราคาสูงเกินไปสำหรับคุณ

19. เลือกเวลาที่เหมาะสม 
          พนักงานขายส่วนมากจะวุ่นอยู่กับการทำยอดขายให้ได้ตามแผนในช่วงปลายเดือน นั่นคือเวลาที่คุณควรจะไปซื้อรถ ยิ่งคุณไปถึงโชว์รูมแต่เช้าก็ยิ่งจะได้รับบริการเป็นอย่างดี เพราะพนักงานขายมักใส่ใจกับลูกค้ารายแรก ๆ ที่เข้ามาในโชว์รูม

20. ทดลองขับรถเป็นสิ่งสุดท้าย 
          การทดลองขับรถเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการเลือกซื้อรถ คุณควรลองขับรถหลังจากต่อรองทุกสิ่งอย่างจนพอใจเรียบร้อยแล้ว พนักงานขายมักจะคะยั้นคะยอให้คุณทดลองขับรถให้เร็วที่สุด เพราะเมื่อขับรถแล้วถูกใจ ก็ยิ่งมีความเป็นไปได้ที่คุณจะตัดสินใจซื้อรถ

 21. เลือกรถในสต็อค 
          ตัวแทนจำหน่ายรถบางรายได้เครดิตในการนำรถมาเก็บไว้ในสต็อคเพื่อขาย ถ้าอยากได้ข้อเสนอดี ๆ ลองเลือกดูรถที่อยู่ในสต็อค โดยเฉพาะรถที่เก็บมานานกว่า 3 เดือน เพราะตัวแทนจำหน่ายอยากจะขายรถพวกนี้ออกไปก่อนเพื่อนำเงินไปจ่ายให้แก่บริษัทแม่

22. รู้จักต่อรอง 
          ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อรถที่โชว์รูมไหน คุณควรเช็คราคารถหลาย ๆ แห่ง เพื่อข้อเสนอที่ดีที่สุด เมื่อเลือกโชว์รูมได้แล้ว อย่าเพิ่งรีบตกลงปลงใจ เพราะคุณยังสามารถต่อรองขอส่วนลดเพิ่มหรือของแถมจากพนักงานขายได้อีก ให้ต่อรองจนกว่าคุณจะได้ข้อเสนอที่พอใจ

 23. ระวังของลดราคา 
          โปรโมชั่นประเภท "ซื้อตอนนี้รับส่วนลดทันที 20,000 บาท" อาจฟังดูน่าสนใจ แต่คุณต้องชอบรถคันนั้นจริง ๆ (เพราะเมื่อซื้อมาแล้วคุณจะต้องใช้รถคันนี้ต่อไปอีกหลายปี) รถที่มีราคาถูกมาก ๆ ตั้งแต่ตอนซื้อ จะราคาตกลงไปมากเวลาที่คุณขาย ส่วนพวกรถตกรุ่นที่จะไม่มีการผลิตแล้วก็ยิ่งไม่น่าซื้อ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นรถคลาสสิก

 24. เช็คข้อมูลในเน็ต 
          ก่อนจะตัดสินใจซื้อรถให้หาข้อมูลเพิ่มเติมในเน็ต รวมทั้งลองดูความเห็นของคนที่ซื้อรถรุ่นนั้นไปแล้ว หนึ่งในเว็บบอร์ดที่ได้รับความนิยมคือ pantip.com

25. เอาตัวรอดเวลารถตกน้ำ 
          สมัยนี้รถยนต์ส่วนใหญ่จะใช้กระจกไฟฟ้า ถ้าหากรถตกน้ำไฟฟ้าจะช็อตและเปิดกระจกไม่ได้ ให้ลงทุนซื้ออุปกรณ์อย่างค้อนหรือไขควงปากแบนขนาดใหญ่เก็บไว้ตามที่ใส่ของในรถ ถ้าเกิดมีอุบัติเหตุรถตกลงไปในน้ำจะได้มีอุปกรณ์ทุ่นแรงไว้ทุบกระจกให้แตก

26. เตรียมยาหรือขนมแก้เมารถ 
          สำหรับคนที่ชอบเมารถ ให้ลองกินคุกกี้รสขิง (หากไม่มียาแก้เมารถ) เพราะการปล่อยให้ท้องว่างจะทำให้เมารถมากขึ้น และงานวิจัยพบว่าขิงช่วยป้องกันและบรรเทาอาการเมารถได้

27. ดูแลใบปัดน้ำฝน 
          ปกติใบปัดน้ำฝนจะเป็นสิ่งสุดท้ายที่ได้รับการดูแล ทั้ง ๆ ที่เป็นอุปกรณ์สำคัญที่จะช่วยให้คุณมองเห็นได้ชัดขึ้นเวลาฝนตก สมาคมรถยนต์อธิบายว่าใบปัดที่ดีจะต้องมีเฉพาะส่วนขอบของใบแนบอยู่กับกระจกหน้ารถ ถ้าหากเวลาคุณปัดน้ำฝนแล้วได้ยินเสียงดังหรือเห็นว่ามีการสะดุด ควรไปให้ศูนย์บริการปรับตั้งหรือเปลี่ยนใบปัดให้ใหม่จะดีกว่า

28. มองถนนให้ไกล 
          อีกหนึ่งพฤติกรรมการขับรถที่ไม่ดีคือการจ้องมองพื้นถนนข้างหน้ารถหรือท้ายรถคันหน้า ทางที่ดีคุณควรฝึกมองไปข้างหน้าไกล ๆ อย่างเช่น ขณะที่เข้าโค้งก็ให้มองจุดออกจากโค้ง การมองแบบนี้ อาจทำให้คุณรู้สึกเหมือนจะหลุดออกไปนอกถนน แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะการมองเห็นทั้งโค้ง จะช่วยให้คุณเข้าโค้งตามไลน์ได้ถูกต้อง

29. เช็คลมยาง คริส โจแฮนสัน 
          ผู้แต่งหนังสือ Auto Diagnosis, Service and Repair บอกว่า "เมื่อลมยางต่ำกว่าปกติ ยางจะสัมผัสและเกิดแรงเสียดทานกับพื้นถนนเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้ยางสึกเร็วกว่าที่ควร อีกทั้งยังทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักและสิ้นเปลืองน้ำมันมากขึ้น" ในทางตรงกันข้ามการเติมลมยางเกินกว่าที่กำหนดจะทำให้ยางแข็งและไม่ยืดเกาะถนน ควรตรวจสอบคู่มือการใช้รถของคุณและเติมลมยางให้ถูกต้อง



30. อย่าขับจี้ท้ายคันหน้า 
          ทอม แวนเดอร์บิลต์ ผู้แต่งหนังสือขายดี ชื่อ Traffic บอกว่า การขับจี้ท้ายรถคันหน้าทำให้รถติด แวนเดอร์บิลต์อธิบายว่า คนขับรถจะต้องเหยียบเบรคบ่อยเกินเหตุเวลาขับจี้ท้าย ดังนั้นรถคันหลังที่ขับตามมาก็จะต้องเหยียบเบรคตามไปด้วย ทุกคนเลยขับรถกระตุกแบบเหยียบเบรคแล้วก็ปล่อยตามกันไปเป็นแถว

31.ถอยรถจอดขนานอย่างโปร 
          คนที่ถอยรถจอดขนานไม่เก่งควรอ่านคำแนะนำนี้ ล้อแม็กซ์ราคาแพงจะได้ไม่ต้องเป็นรอยเพราะเบียดกับขอบฟุตปาธ ในกรณีที่ไม่มีอุปกรณ์เตือนเวลาถอยหรืออุปกรณ์ไม่ทำงาน ให้คุณปรับมุมกระจกมองข้าง ด้านคนนั่งเอียงลงให้เห็นขอบฟุตปาธและรถด้านข้าง เพื่อที่จะได้เห็นล้อและขอบฟุตปาธเวลาถอยจอดขนาน พอจอดเรียบร้อยก็ปรับกระจกมองข้างกลับมาไว้ที่มุมมองปกติ สำหรับรถรุ่นใหม่บางรุ่นจะมีกระจกมองข้างที่ปรับอัตโนมัติเวลาถอยจอดที่เรียกว่า "อินเดกซิ่ง" (Indexing)

32. เมาไม่ขับ 
          เวลาที่คุณจะไปท่องราตรีกับเพื่อนหรือแฟนให้คุณทิ้งรถไว้ที่บ้านแล้วนั่งแท็กซี่แทนดีกว่า จะได้ไม่ต้องเสี่ยงถูกตำรวจจับข้อหาเมาแล้วขับ รวมทั้งหลีกเลี่ยงการเกิดอุบัติเหตุด้วย

33. เร็วกว่าย่อมได้เปรียบ 
          การเหยียบคลัทช์ค้างไว้ก่อนขณะที่เข้าเกียร์ช่วยให้รถวิ่งไปอย่างนุ่มนวลไม่สะดุด แต่ในเวลาเดียวกัน ก็ทำให้เกิดความร้อนจนรถอืด ดังนั้นอย่ามัวรอช้ารีบสับเกียร์แล้วถอนเท้าออกจากคลัทช์ให้เร็วที่สุด

          สอนลูกอย่างไรให้ขับรถเป็น

34. หาพื้นที่โล่ง ๆ ให้ฝึกขับ
          เด็กที่หัดขับรถใหม่ ๆ จะตกใจง่าย และทำอะไรไม่ถูกเมื่อรถพุ่งเข้าไปหาสิ่งกีดวางต่าง ๆ อย่างเช่น แผงกั้นตามที่จอดรถ ดังนั้นเวลาพาลูกไปหัดขับรถให้หาพื้นที่โล่ง ๆ สอนให้เขาหันไปดูตามทิศทางที่เขาจะเลี้ยว แล้วค่อยหมุนพวงมาลัยไปในทิศทางเดียวกัน นอกจากนั้นคุณต้องคอยฝึกลูกให้ขับรถไม่ให้ส่ายไปมาด้วย

35. เป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูก 
          วัยรุ่นที่ขับรถไม่ดีมักจะมีพ่อแม่ที่ขับรถไม่ดีด้วย เพราะฉะนั้นการขับรถของคุณจะเป็นแบบอย่างให้กับลูกของคุณ อย่าขี้โมโห ให้ใจเย็น ๆ เวลาขับรถ ลูกคุณจะได้ขับรถอย่างใจเย็นเหมือนคุณ

36. อธิบายให้ลูกเห็นภาพ 
          ควรอธิบายให้ลูกนึกภาพออก แทนที่จะไปนั่งอธิบายตัวเลขหรือทฤษฎี ตัวอย่างเช่น แทนที่คุณจะบอกว่า "ต้องใช้ระยะเพิ่มจากปกติอีก 25 เมตร เพื่อหยุดรถที่วิ่งมาด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง เพราะทุก ๆ วินาที ที่เบรคทำงานช้าจะต้องการระยะทางเพิ่มขึ้น" ลองบอกลูกว่า "หากรถวิ่งมาด้วยความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ต้องใช้ระยะทาง 85 เมตรในการเบรค ซึ่งเป็นระยะทางที่สั้นกว่าความยาวของสนามรักบี้อยู่แค่ 15 เมตร"

       หากไม่มั่นใจใจความปลอดภัยในการสอนสอนขับรถให้กับลูกให้ติดต่อโรงเรียนสอนขับรถเพื่อสอนให้ครูผู้มีประสบการณ์การสอน สอนโดยตรงเลยค่ะ

37. อย่าใช้นิ้วเท้าเหยียบคันเร่ง 
          บางคนชอบใช้นิ้วเท้าเหยียบคันเร่ง ซึ่งทำให้ควบคุมความเร็วได้ไม่สม่ำเสมอและเปลืองน้ำมันเวลาขับ ควรสอนให้ลูกใช้ฝ่าเท้าเหยียบคันเร่งซึ่งจะทำให้ออกแรงได้สม่ำเสมอ และควบคุมความเร็วได้ดีกว่า

38. สิ่งที่รบกวนสมาธิ 
          ควรอธิบายให้ลูกคุณเข้าใจถึงสิ่งที่จะรบกวนสมาธิเวลาขับรถ ไม่ว่าจะคุยโทรศัพท์มือถือ หรือแม้กระทั่งฟังเพลงที่ดังเกินไป และแย่ที่สุดคือการรับหรือส่ง SMS จากการศึกษาของสถาบันขนส่งเวอร์จิเนียเทคพบว่า คนที่ส่งข้อความขณะขับรถมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุมากกว่าคนขับรถปกติถึง 23 เท่า

39. ใช้ไฟตัดหมอก 
          เรย์ ไทสัน อดีตโฆษณาของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อความปลอดภัยในการจราจรของแอฟริกาใต้ บอกว่าไฟตัดหมอกสามารถส่องผ่านไอน้ำได้ดีกว่าไฟหน้ารถปกติ และโดยปกติไฟตัดหมอกจะถูกติดตั้งไว้ด้านล่างของกันชนหน้าเพื่อป้องกันแสงสะท้อน ในขณะที่ไฟสูงจะทำให้จ้าและมองไม่เห็นผ่านสายหมอก คุณควรแนะนำให้ลูกใช้ไฟตัดหมอกแทนการส่องไฟสูงเมื่อมีหมอกลงจัด

40. รีบนำรถไปซ่อมหากกระจกมีรอยร้าว 
          ถ้าหากกระจกร้าวเพราะถูกหินกระเด็นใส่ คุณควรบอกให้ลูกรีบนำรถไปซ่อม เพราะรอยร้าวที่มีขนาดเล็ก ร้านกระจกมาตรฐานจะสามารถซ่อมได้ แต่หากทิ้งไว้แล้วเกิดรอยร้าวเพิ่มอาจทำให้ต้องเปลี่ยนกระจกใหม่ทั้งบาน



สนใจเรียนขับรถยนต์

กับครูผู้มีประสบการณ์การสอน ครูใจเย็น ครูใจดี ครูผู้หญิง หรือท่านมีปัญหาเรื่องการสอบขอรับใบอนุญาติขับขี่ หัดขับกันเองไม่เป็น กลัวเกิดอุบัติเหตุ สอนกันไม่เข้าใจ ทะเลาะกัน มาปรึกษาเราสิคะ เขมจิรา ยินดีให้คำแนะนำทุกท่านค่ะ
โทร. 092-997-4249,063-196-4492

Line ID:  fondrivingschool
https://www.facebook.com/PrachuabDrivingSchool/
http://prachuabdrivingschool.blogspot.compot.com/

http://www.prachuabdrivingschool.com/

วันจันทร์ที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

พฤติกรรมที่ไม่ควรทำในการใช้รถใช้ถนน

มีน้ำใจ มีวินัยในการใช้รถใช้ถนน ย่อมส่งผลให้ลดอุบัติเหตุได้ค่ะ


          1. การขับรถช้าจนเกินไปและมักจะวิ่งอยู่บนช่องจราจรด้านขวามือตลอดเวลา ทั้ง ๆ ที่ช่องทางจราจรด้านซ้ายของถนนไม่ได้ชำรุดหรือเสียหายแต่อย่างใด การกระทำเช่นนี้นอกจากจะทำให้การจราจรติดขัดแล้วยังอาจจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุได้ เพราะกฎจราจรของบ้านเรารถทุกคันจะต้องวิ่งบนช่องทางจราจรด้านซ้ายและจะต้องแซงทางขวามือเท่านั้น การที่ท่านไปวิ่งอยู่ด้านขวามือตลอดเวลาคนที่ขับตามมาและต้องการจะแซงก็ไม่แน่ใจว่าจะแซงทางไหนดี

          2. การขับรถออกจากไฟแดงที่ช้ามาก ๆ โดยไม่คำนึงถึงคนอื่นที่อยู่ด้านหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสี่แยกไฟแดงที่รถติดยาวเหยียด ฉะนั้นเมื่อติดไฟแดงและท่านอยู่ด้านหน้าของผู้อื่น จะต้องคอยสังเกตสัญญาณไฟให้ดี เมื่อไฟเขียวให้ไปได้ท่านควรรีบเหยีบคันเร่งออกไปให้เร็วพอสมควร เพื่อให้คนที่อยู่ด้านหลังจะได้ผ่านไปได้หลาย ๆ คัน ต้องเห็นใจผู้อื่น ๆ ที่อยู่ข้างเรา เขาอาจจะมีธุระจำเป็นที่ต้องรีบไป

          3. การเปิดไฟหน้ารถยนต์มากกว่า 2 ดวงและสว่างจ้าจนเกินไป โดยปกติแล้วไฟหน้ารถยนต์ทั่วไปจะมีเพียง 2 ดวงซ้ายและขวา ซึ่งทางบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้ออกแบบไฟหน้าให้มีความสว่างที่พอเหมาะ เพื่อไม่ให้รบกวนสายตาผู้อื่นที่ขับสวนทางมา แต่ทว่ามีหลายคนนิยมไปติดไฟด้านหน้าเพิ่มเป็น 4 ดวงหรือบางทีเป็น 6 ดวงและเปิดมันหมดทุกดวง โดยไม่คำนึงถึงผู้อื่นที่ขับรถวิ่งสวนทางมา แม้กระทั่งจะวิ่งอยู่ในเขตตัวเมืองซึ่งมีไฟส่องสว่างอย่างเพียงพอก็ตาม การกระทำเช่นนี้น่าจะผิดกฎหมายด้วย แต่ไม่เห็นมีตำรวจจราจรหรือเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานใดออกมาควบคุมเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยทั่วไปแล้วเราจะเปิดไฟตัดหมอกหรือเปิดไฟดวงอื่น ๆ เพิ่มเพื่อให้สว่างในที่ที่มีหมอกลงจัดหรือในเส้นทางที่เปลี่ยวเท่านั้น แต่ที่พบส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์ของเด็กวัยรุ่นที่วิ่งอยู่ในตัวเมือง

          4. การเปิดไฟสูงตลอดเวลา โดยไม่คำนึงถึงรถที่ี่กำลังวิ่งสวนทางมาหรือบางคนเปิดไฟสูงตามหลังคันอื่นก็ทำให้แสงไฟแยงตาผู้อื่นได้เช่นกัน โปรดเห็นใจคนอื่นที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกันกับเรา รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา เมื่อคนอื่นเปิดไฟสูงสวนทางมาแสงไฟย่อมแยงตาเราฉันใด หากเราเปิดไฟสูงแล้วขับสวนทางไปแสงไฟรถของเราก็ย่อมจะไปแยงตาของผู้ที่ขับสวนมาฉันนั้น

          5. การเปลี่ยนหลอดไฟท้ายให้สว่างจ้าจนจนเกินไป ทำให้แสงไฟแยงตาและรบกวนสายตาของผู้ที่ขับตามมาด้านหลัง โดยปกติแล้วไฟท้ายของรถยนต์หรือจักยานยนต์ที่ติดตั้งมาจากโรงงานผลิต จะมีความสว่างพอเหมาะ ไม่แสว่างจ้าหรือมีสีที่รบกวนสายตาของผู้ที่ขับตามมาด้านหลังจนเกินไป แต่มีผู้ใช้รถบางคนไปเปลี่ยนหลอดไฟท้ายให้มีความสว่างมากกว่าปกติ บางทีก็เป็นหลอดสีที่ก่อให้เกิดความรำคาญแก่สายตาเป็นอย่างมาก ซึ่งน่าจะผิดกฎหมายจราจรเช่นกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรควรกวดขันในเรื่องนี้ด้วย

           6. การกระพริบไฟสูงใส่หน้ารถที่กำลังแซงสวนมา เมื่อมีรถยนต์วิ่งแซงรถคันอื่นที่กำลังวิ่งสวนทางมา ท่านควรหลีกทางให้จะดีกว่าเพื่อความปลอดภัยของทุกฝ่าย ไม่ควรกระพริบไฟหน้าสวนออกไป โดยเฉพาะในเวลากลางคืน เพราะอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

           7. การเปิดไฟเลี้ยวในระยะกระชั้น หากท่านต้องการจะเลี้ยวหรือจะจอดรถข้างทาง ควรเปิดสัญญาณไฟเลี้ยวล่วงหน้าพอสมควร ไม่ใช่จะไปถึงทางแยกแล้วหรือจะหยุดแล้วจึงเปิดไฟเลี้ยว อาจจะทำให้ผู้ที่ขับตามมาไม่ทันระวังตัว ซึ่งจะเกิดอุบัติเหตุได้

            เมื่อท่านต้องใช้รถใช้ถนน จงมีน้ำใจและให้อภัยซึ่งกันและกัน อย่าหงุดหงิดหรือโมโหง่าย ขณะเดียวกันก็ต้องเห็นใจผู้อื่น รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา บางคนอาจจะขับรถเร็วเพราะมีความจำเป็นที่จะต้องไปให้ทันเวลา บางครั้งอาจจะแซงตัดหน้าท่านบ้างก็จงให้อภัย หากไปโมโหตอบแล้วก็ขับรถไปแซงปาดหน้าเอาคืน ในที่สุดก็ต้องทะเลาะกันเสียเปล่า ดังที่เห็นในพาดหัวข่าวหนังสือพิมพ์อยู่เรื่อย ๆ ว่า เพียงแค่ขับรถปาดหน้าหรือแซงกันไปมาก็ฆ่ากันได้


สนใจเรียนขับรถยนต์

กับครูผู้มีประสบการณ์การสอน ครูใจเย็น ครูใจดี ครูผู้หญิง หรือท่านมีปัญหาเรื่องการสอบขอรับใบอนุญาติขับขี่ หัดขับกันเองไม่เป็น กลัวเกิดอุบัติเหตุ สอนกันไม่เข้าใจ ทะเลาะกัน มาปรึกษาเราสิคะ เขมจิรา ยินดีให้คำแนะนำทุกท่านค่ะ
โทร. 092-997-4249,063-196-4492

Line ID:  fondrivingschool
https://www.facebook.com/PrachuabDrivingSchool/
http://prachuabdrivingschool.blogspot.compot.com/

http://www.prachuabdrivingschool.com/