วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

การขับรถเบื้องต้นเพื่อการขับรถอย่างปลอดภัย



ขับรถแบบปลอดภัย (ยานยนต์)

          รถสมัยนี้อุดมไปด้วยระบบความปลอดภัยมากมาย ทางบริษัทรถต่างสรรหาเข้ามาใส่ไว้ในรถ เพื่อเป็นการช่วยในการขับขี่ พวกรถหรูหราราคาแพงจะมีระบบช่วยเหลือการขับขี่ จนกระทั่งคนขับแทบจะเหลือหน้าที่เพียงแค่จับพวงมาลัยเท่านั้นเอง นอกนั้นตัวรถจะเป็นผู้จัดการให้หมด แม้กระทั่งการเบรกเพื่อชะลอความเร็วหรือหยุดรถก็ตาม หากคนขับไม่เบรก รถก็จะเบรกให้เอง

          อย่างไรก็ตามถึงรถจะแสนรู้แค่ไหน การบังคับควบคุมหลักก็ต้องเป็นหน้าที่ของคนขับพวกระบบความปลอดภัยและระบบอิเล็คทรอนิคส์ในการควบคุมต่าง ๆ เป็นเพียงผู้ช่วยเหลือเท่านั้น คนขับยังต้องเรียนรู้วิธีการขับรถ เพื่อสร้างความปลอดภัยอยู่ดี

          ถึงแม้พวกเราจะไม่ใช่นักขับรถมืออาชีพ ไม่ได้ขับรถเพื่อแข่งความเร็วกับใคร เพียงแค่ใช้รถในชีวิตประจำวันเท่านั้นเอง แต่ก็ควรศึกษาและเรียนรู้เทคนิคในการขับรถเอาไว้บ้าง เพราะมันหมายถึงความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน เท่าที่เจอะเจอมาก็มีอยู่เยอะเหมือนกันที่มักคิดว่าตัวเองเป็นนักแข่ง ชอบขับรถด้วยความเร็วสูง เชื่อในฝีมือความสามารถ และความชำนาญของตัวเอง กว่าจะรู้ความจริงว่าอยู่ระดับไหนก็ตอนที่เป็นเรื่องไปซะแล้ว...

          การขับรถที่ดีไม่ได้หมายความว่าต้องขับรถช้าเป็นเต่าคลานกันเสมอไป ตรงกันข้ามการขับรถช้าเกินควรในบางครั้งกลับเป็นตัวก่อให้เกิดอุบัติเหตุ และเพิ่มอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงให้กับชาวบ้านด้วยซ้ำไป เพราะรถที่ขับตามเค้าต้องคอยเบรกและหาจังหวะเปลี่ยนช่องทางเพื่อนแซงรถช้า นอกจากนี้ยังเป็นตัวสร้างอุบัติเหตุให้กับชาวบ้าน เพราะรถที่ขับตามต้องเปลี่ยนเลนไปตัดทางพวกรถที่มาเร็ว อันที่จริงแล้วควรขับตามความเหมาะสมกับสภาพเส้นทางและสภาพการจราจร เขาไปช้าเราก็ต้องคลานตามไป และเมื่อเพื่อนร่วมถนนไปเร็วเราก็ควรเร็วตามเขาด้วยเหมือนกัน การจราจรจะได้ไม่เกิดการติดขัด

          สำหรับการขับรถเพื่อการเดินทาง แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องใช้ความเร็วสูงหน่อย และในกรณีที่ขับรถด้วยความเร็ว (ค่อนข้าง) สูงนั้น มีความจำเป็นจะต้องคำนึงถึงเรื่องต่าง ๆ เพิ่มขึ้นอีกมากมาย แต่อย่างแรกที่อยากให้นึกถึงกัน ถ้าเรียกให้หรูหน่อยก็เป็นเรื่องของ “ค่าสัมประสิทธิ์ความเสียดทาน” แต่หากพูดจาประสาชาวบ้านก็คือ การเกาะถนนนั่นเอง ซึ่งรถจะเกาะถนนหรือไม่นั้นมีปัจจัยอยู่หลายอย่าง เช่น ความเร็ว การเปลี่ยนทิศทางหรือแรงหนีศูนย์ ยางช่วงล่าง น้ำหนักรถ และอื่น ๆ อีกมาก สำหรับตอนนี้สิ่งที่อยากให้พยายามเรียนรู้เอาไว้ คือ “การอ่านสภาพของถนนให้ออก” ต้องเข้าใจสภาพของพื้นผิวถนนว่าเป็นอย่างไร บนถนนบ้านเรามักมีสิ่งเหนือความคาดหมายได้เสมอ ทั้งน้ำมันที่หกเลอะเทอะ เศษใบไม้ที่ถูกรถทับบดไปบดมา หากเจอน้ำหรือฝนก็จะกลายเป็นเมือกลื่นได้ และที่เจอบ่อยมากคือ พวกเศษทรายเศษดินบนถนน ซึ่งปกติก็ไม่ค่อยมีพิษสงมากมากอะไร แต่พอเจอน้ำฝนเข้าไปคราวนี้จะออกลายมาเลย

          หากขับรถแล้วไปเจอกับเจ้าพวกนี้เข้าให้ รถเกิดการลื่นไถลแถออกไปนอกทางหรือหลุดโค้งออกไป ไม่สามารถควบคุมทิศทางรถได้ วิธีแก้ไขที่ควรกระทำ คือ ผ่อนคันเร่งและไม่ต้องคอยประคองรถ


วิธีผ่อนคันเร่ง คือการถอนคันเร่งช้า ๆ อย่าถอนคันเร่งแบบทันทีทันใด เพราะการกระทำเช่นนั้นอาจจะทำให้ล้อเสียการควบคุม ซึ่งอาจจะทำให้ท้ายรถปัดออกไปทางนอกโค้ง แบบที่เค้าเรียกกันว่า “โอเวอร์สเตียร์” ส่วนการ ไม่ต้องประคองรถหรือเลี้ยงพวงมาลัย นั้น ให้กระทำเพียงแค่จ้องบนเส้นทางปลอดภัยที่เราจะไปเท่านั้นเอง อย่างพื้นถนนส่วนในของโค้ง ไม่ใช่จ้องมองหลักหรือขอบถนนข้างทาง แล้วสายตาจะแจ้งให้สมองรับรู้ ต่อจากนั้นสมองก็จะบังคับมือให้หันพวงมาลัยไปตามทิศทางที่ถูกต้อง (ตามที่เรามองเอาไว้) เอง

          ในการอ่านสภาพถนนนั้นยังหมายถึงการดูสภาพของไหล่ถนนและข้างทางอีกด้วย ไม่ได้ดูกันเฉพาะพื้นผิวถนนเพียงอย่างเดียว เนื่องจากเราอาจเจอกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะยามเย็นใกล้ค่ำเหล่าบรรดารถอีแต๋นทั้งหลาย อาจจะโผล่พรวดออกมาจากข้างทางโดยไม่มีสัญญาณบอกเหตุล่วงหน้าเลย หรือยามปกติก็มีทั้งสุนัข กับรถมอเตอร์ไซค์ที่มักคิดว่าการถูกรถชนนั้นไม่เจ็บ จึงชอบข้ามถนนโดยไม่สนใจกับรถทางตรง ซึ่งมาได้ทั้งข้างทางด้านซ้าย และจากทางด้านขวา หากตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ หากมีความจำเป็นที่จะต้องหักหลบ ก็ให้หลบเข้าข้างทางไป หรือหากระดับพื้นข้างทางไม่ต่างกับระดับพื้นถนนก็หลบเข้าไปเลย เพียงแต่ข้อสำคัญอย่าตกใจกระชากพวงมาลัยหลบอย่างรวดเร็วแบบกะทันหัน แต่ให้กระทำอย่างนุ่มนวลรับรองว่ารถจะหลบได้เร็ว (และปลอดภัย) กว่าการกระชากพวงมาลัยซะอีก

          วิธีขับรถยามเดินทางด้วยความเร็ว โดยทั่วไปมักจะให้เป็นสูตรสำเร็จ สำหรับการเว้นระยะห่างรถข้างหน้า 1 ช่วงคันรถต่อความเร็วที่เพิ่มขึ้น 10 กม./ชม. แต่รถที่ใช้กันอยู่นั้นมีประสิทธิภาพในการยืดเกาะถนนต่างกันสมรรถนะของระบบเบรกก็ไม่เท่ากัน แม้กระทั่งยางที่ใช้ก็ไม่เท่าเทียมกัน รวมไปถึงคนขับก็มีความสามารถในการขับรถไม่เหมือนกัน ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือ ต้องถามตัวเราเองว่า ด้วยความเร็วเท่านี้ สภาพการจราจรและเส้นทางแบบนี้ จากประสิทธิภาพของเบรกกับความพร้อมและประสบการณ์ในการขับรถ หากรถคันหน้ามีอะไรเกิดขึ้นทำให้ต้องเบรกอย่างกะทันหัน เราจะสามารถหยุดรถได้ทันการณ์หรือเปล่า หากตัวเองตอบว่าไม่ทัน ก็ควรเพิ่มระยะห่างจากรถคันหน้าอีกหน่อย

          จากความเร็วที่เราขับ 100 กม./ชม. หมายความว่า ในเวลา 1 วินาทีรถจะเคลื่อนที่ไปเป็นระยะทาง 27.8 เมตร ดังนั้นในกรณีมีเหตุด่วนเหตุร้ายเกิดขึ้น ทำให้จำเป็นต้องเบรกก็ควรจะเหยียบเบรกให้เร็วและว่ากันอย่างแรงเต็มที่ ถึงแม้รถสมัยนี้จะมีระบบ BA มาช่วยเพิ่มแรงเบรกแล้วก็ตาม เอาชัวร์ไว้ก่อนโดยออกแรงให้มันเยอะเข้าไว้ และไม่ต้องเกรงว่าตัวรถจะเสียหลักต้องคอยประคองพวงมาลัยรักษาเส้นทาง เพรารถสมัยนี้จะมีระบบเบรก ABS มาช่วยงาน ป้องกันไม่ให้ล้อล็อค ดังนั้น ABS จึงช่วยให้สามารถบังคับรถได้อย่างไม่มีปัญหา แถมระหว่างเหยีบบเบรกยังขับหลบสิ่งกีดขวางข้างหน้าได้อีกต่างหาก อย่างไรก็ตามพึงระลึกเอาไว้ว่ารถที่มีระบบเบรก ABS นั้นบนถนนแห้ง การเบรกจะใช้ระยะทางมากกว่าเบรกธรรมดาที่ไร้ ABS เป็นผู้ช่วย ด้วยเหตุนี้จึงควรเหยียบเบรกให้แรงมากกว่าปกติ

          พวกรถที่ไม่มีผู้ช่วยทั้ง BA หรือ ABS ก็ตาม ในการใช้เบรกก็ต้องว่ากันอย่างเต็มที่เช่นกัน เพียงแต่ต้องคอยระวังยามล้อเกิดการล็อคทำให้รถลื่นไถลไม่สามารถควบคุมทิศทางรถได้ แบบนี้ให้ถอนเท้าจากเบรกเล็กน้อยจนพบว่าตัวรถพุ่งไปทางทิศที่เราหักพวงมาลัยรอเอาไว้ เป็นการแสดงว่าล้อเลิกล็อกและทำให้ยางเริ่มจับถนนอีกครั้งคราวนี้เราสามารถหักพวงมาลัยหลบได้แล้ว


การขับขี่บนทางลื่น ต้องมีความรู้และความระมัดระวังกันเป็นพิเศษ ถึงพวกรถรุ่นใหม่ ๆ จะมีระบบสารพัดอย่างพวก DSC (Dynamic Stability Control) มาช่วย โดยการลดความแรงของเครื่องยนต์ลง หรือจัดการให้มีการเบรกในทันที ซึ่งล้อรถจะไม่มีการหมุนแบบเสียศูนย์ ตัวรถยังคงอยู่บนถนนตามปกติ แต่อุปกรณ์เหล่านี้มีประสิทธิภาพการทำงานจำกัดอยู่ในระดับหนึ่งเท่านั้น หากเล่นกันแรงหรือขับเร็วเกินไปมันก็ช่วยไม่ไหวเหมือนกัน

          สิ่งสำคัญยามเจอเส้นทางอื่นอยู่ที่แรงบิดของล้อ ถ้ามีมากเกินไปหน้ายางก็ไม่สามารถยืดเกาะกับเส้นทาง และเมื่อนั้นก็จะเกิดการลื่นไถลเสียการทรงตัว ไม่สามารถควบคุมทิศทางของรถ การขับขี่บนทางลื่น ยามฝนตกบนถนนมีน้ำเจิ่งนอง เส้นทางที่มีโคลนเลนอยู่บนพื้นผิว หรือแม้แต่เส้นทางที่มีฝุ่นหรือทรายปกคลุม จำเป็นต้องใช้เกียร์สูงกว่าปกติ อย่างเช่น ออกตัวด้วยเกียร์ 2 แทนที่จะเป็นเกียร์ 1 ตามปกติ ทั้งนี้เพื่อให้ล้อมีแรงบิดน้อยลดการลื่นไถล

          การขับให้ใช้ความเร็วต่ำแต่ใช้เกียร์สูง ชนิดขับกันแค่ 40-50 กม./ชม. ก็พยายามใช้เกียร์สูงสุดขับเคลื่อน หากเครื่องยังไปไหวไม่มีอาการสั่นเครื่องไม่น็อก หรือพวกรถเกียร์อัตโนมัติบางรุ่นจะมีโปรแกรมขับทางลื่นโดยเฉพาะ อย่าง Hold Mode หรือโปรแกรม Winter ตลอดจนเกียร์อัตโนมัติของรถรุ่นใหม่ที่สามารถเลือกเกียร์ขับได้แบบรถเกียร์ธรรมดา นอกเหนือจากนี้ก็ควรถอนเท้าออกจากคันเร่งบ้าง พยายามใช้รอบเครื่องที่ไม่สูงจนเกินไปช้าหน่อยดีกว่าไปไม่ถึง

          ในการขับรถเข้าโค้งบนถนนลื่นมาก ๆ นอกจากต้องระวังเรื่องความเร็วของรถ กับความแรงของเครื่องยนต์แล้ว ก็ต้องนึกถึงวงเลี้ยงด้วย หากเข้าโค้งด้วยการหมุนพวงมาลัยน้อยเกินไป ซึ่งจะเห็นได้จากล้อรถเกยขอบทางหรืออกไปทางไหล่ถนนสำหรับการรถเลี้ยวขวา หรือหากเป็นการเลี้ยงซ้ายล้อรถก็จะผ่านเส้นกลางกินไปทางเลนของรถที่สวนมา หากเจอลักษณะแบบนี้เข้าควรใช้วิธีแตะเบรก และพยายามควบคุมทิศทางของรถให้แล่นอยู่ในเส้นทางเข้าไว้

 บางครั้งอาจจะหักพวงมาลัยเพื่อเข้าโค้งมากเกินไป คราวนี้จะพบว่าท้ายรถเริ่มส่ายและหนีโค้งในลักษณะอาการโอเวอร์สเตียร์ หากเป็นรถเกียร์ธรรมดาให้รีบปล่อยคลัทช์ทันที พร้อมกับหมุนพวงมาลัยกลับทางมาอีก ด้านสวนทางกับโค้งให้ไปทางเดียวกับท้ายรถอย่างเช่นโค้งซ้ายท้ายรถจะเหวี่ยงออกไปทางขวา เราก็หันพวงมาลัยไปทางขวา การหมุนพวงมาลัยสวนทางแบบนี้ จะก่อให้เกิดแรงต้านต่อความโน้มเอียงของตัวรถและโค้ง การบังคับล้อหน้าให้กลับเข้าสู่ทิศทางของการเคลื่อนที่อย่างถูกต้อง และหากสามารถกระทำภายในเวลาที่เหมาะสม จะช่วยปกป้องรถจากการส่ายและปัดได้ นอกจากนี้หากตราบใดก็ตามที่เราหักพวงมาลัยให้ล้อหน้าหันไปทางเดียวกันกับท้ายรถ หมายความว่าท้ายรถจะไม่เร็วและไม่สามารถแซงด้านหน้าขึ้น ตราบนั้นรถก็จะไม่เกิดการหมุน

          หลักสำคัญในการขับขี่รถ คือ ความราบเรียบและนุ่มนวล ไม่ว่าจะเป็นการพักเลี้ยว การเบรก การถอนเบรก การเร่งและการถอนคันเร่ง การกระทำใด ๆ ก็ตาม หากดำเนินการอย่างกะทันหัน ฉับพลัน ก็จะมีผลต่อการทรงตัวของรถ อย่างเช่น เรากดเบรกหนัก ๆ ก่อนถึงโค้ง น้ำหนักรถก็จะเหมาที่ล้อหน้า พอหักเลี้ยวก็ถอนเท้าออกจากเบรกอย่างเร็ว แล้วรีบมากดคันเร่งพุ่งตัวออกจากโค้ง น้ำหนักก็จะถ่ายกลับไปยังล้อหลังอย่างทันควัน แน่นอนว่าประสิทธิภาพในการยืดเกาะถนนของล้อต้องมีปัญหาแน่ อย่างไรก็ตามในบางจังหวะเราก็อาจต้องทำอะไรที่มันเร็ว ๆ และรุนแรง อย่างการเบรกแบบกะทันหัน หรือหักเลี้ยวหลบอย่างฉับพลัน ดังนั้นจึงพึงระลึกไว้ด้วยว่ามันมีผลกับการทรงตัวของรถ จึงต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการรับผลที่จะเกิดขึ้นตามมาด้วย
สนใจเรียนขับรถยนต์

กับครูผู้มีประสบการณ์การสอน ครูใจเย็น ครูใจดี ครูผู้หญิง หรือท่านมีปัญหาเรื่องการสอบขอรับใบอนุญาติขับขี่ หัดขับกันเองไม่เป็น กลัวเกิดอุบัติเหตุ สอนกันไม่เข้าใจ ทะเลาะกัน มาปรึกษาเราสิคะ เขมจิรา ยินดีให้คำแนะนำทุกท่านค่ะ
โทร. 092-997-4249,063-196-4492

Line ID:  fondrivingschool
https://www.facebook.com/PrachuabDrivingSchool/
http://prachuabdrivingschool.blogspot.compot.com/


http://www.prachuabdrivingschool.com/

วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

อุบัติเหตุบนท้องถนนจะน้อยลงอีกเยอะ หากทุกคนช่วยกัน

เมื่อวานที่ข่าวออกทางทีวี และหนังสือพิมพ์หลายฉบับว่า

คนไทยตายจากอุบัติเหตุบนถนนติดอันดับ 2 ของโลกซึ่งตรงนี้ก็มีรายงานมาเป็นปีแล้วว่าเราอยู่ในอันดับนี้ ซึ่งนี่เองที่เป็นเหตุผลให้มีการเข้มงวดในเรื่องของกฏหมายเพิ่มมากขึ้น

หลายท่านฟังแล้วอาจจะไม่ได้คิดอะไร แต่นี่คือสิ่งที่น่าเป็นห่วง ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะอะไรประเทศไทยถึงติดอันดับต้นๆ ของโลก และจะมีวิธีใดบ้างที่สามารถลดอุบัติเหตุลงได้บ้าง อย่ารอให้เมืองไทยติดอันดับหนึ่ง แล้วถึงจะช่วยกัน อย่ารอให้เกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวของคุณก่อน แล้วค่อยลงมือช่วยกัน ตร



สิ่งที่สามารถลดอุบัติเหตุได้ง่ายๆ ที่ทุกคนทำได้ ช่วยกันได้ และไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย ก็คือ

1. เมาไม่ขับ 
2. ขับไม่โทร ไม่เล่นมือถือ 
3. มีสติในการขับขี่ตลอดเส้นทาง ไม่หยอกล้อเล่นกันในระหว่างขับรถ 
4. เตรียมสภาพร่างกายให้พร้อมเมื่อต้องขับรถทางไกล 
5. ศึกษาเส้นทางก่อนการเดินทาง 
6. มีวินัย มีน้ำใจ และปฏิบัติตามกฏจราจรอย่างเคร่งครัด 
7. เปิดไฟเลี้ยยว ทุกครั้งที่เลี้ยว หรือแซง 
8. ไม่จอดรถในที่ห้ามจอด รวมถึง ตรงจุดที่เกิดอันตรายได้ง่าย เช่น ทางแยก ทางเลี้ยง ทางโค้ง 
    ถึงแม้จะไม่มีเส้นขาวแดงกำกับก็ไม่ควรจอด
9. ใช้ความระมัดระวัง ไม่ประมาท
10. ตรวจเช็คสภาพรถก่อนการเดินทางทุกอย่าง 

หากทุกคนทำเพียง 10 ข้อ เบื้องต้นนี้ ก็สามารถช่วยลดอุบัติเหตุได้เยอะแล้ว ถึงแม้จะไม่ทั้งหมดก็ตาม ไม่ต้องรอให้ใครทำก่อน หรือมาทำเป็นตัวอย่าง เริ่มที่ตัวเราค่ะ แล้วสังคมจะน่าอยู่และมีความปลอดภัยในการใช้ชีวิตบนท้องถนนมากขึ้น 

ถึงเวลาแล้ว มาช่วยกันเริ่มที่ตัวเราเถอะค่ะ ให้การสูญเสียเกิดขึ้นน้อยที่สุด


สนใจเรียนขับรถยนต์

กับครูผู้มีประสบการณ์การสอน ครูใจเย็น ครูใจดี ครูผู้หญิง หรือท่านมีปัญหาเรื่องการสอบขอรับใบอนุญาติขับขี่ หัดขับกันเองไม่เป็น กลัวเกิดอุบัติเหตุ สอนกันไม่เข้าใจ ทะเลาะกัน มาปรึกษาเราสิคะ เขมจิรา ยินดีให้คำแนะนำทุกท่านค่ะ
โทร. 092-997-4249,063-196-4492

Line ID:  fondrivingschool

วันอังคารที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

สอบใบขับขี่ ช่วงนี้ ยากจริงหรือ??? เข้มงวด จริงหรือ???

หลายๆ คน แอบคิดว่า ใบขับขี่ ทำยากจัง ไม่ทำดีกว่า จะอะไรกันนักหนา ตำรวจจะมาจับอะไรกับใบขับขี่ จะเข้มงวดอะไรมากมาย คนทำผิดกฏหมายด้านอื่นที่ร้ายแรงกว่า ทำไมไม่ไปจับ



จริงๆ แล้ว ใบขับขี่ก็มีความสำคัญมากในระดับหนึ่ง แต่ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ คุณได้ใบขับขี่นั้นมาอย่างไร
และที่สำคัญที่สุดในการใช้รถใช้ถนน ก็คือ คุณมีวินัย ในการขับขี่มากน้อยขนาดไหน มีความชำนาญ
ในการขับขี่เพียงใด และสามัญสำนึกในการใช้รถใช้ถนนนั้นมีมากน้อยเพียงใด

คงไม่มีใครอยากให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของคุณ แต่หลายๆคนไม่ได้คิดถึงว่าคนอื่นเขาก็ไม่อยากให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นกับครอบครัวของเขาเช่นกัน

ตรงนี้เองที่จำเป็นต้องมีการจัดอบรมการสอบใบอนุญาติขับขี่ เพราะระหว่างอบรม จะมีความรู้ต่างๆ มอบให้กับผู้ฟังมากมาย รวมถึงภาพเหตุการณ์อุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้นเพราะความประมาทประกอบการอธิบายในห้องอบรมนั้นด้วย

และเหตุนี้อีกเช่นกัน ที่ต้องมีโรงเรียนสอนขับรถเกิดขึ้น เพราะผู้เรียนจะทราบถึงรายละเอียดต่างๆ ท้ั้งหมดของรถก่อนออกตัวรถไปบนถนนจริง ซึ่งแตกต่างจากการฝึกหัดกันเองอย่างสิ้นเชิง ซึ่งการฝึกหัดก้นเองโดยส่วนใหญ่คือให้ผู้เรียนสตาร์ทรถ แล้วเริ่มขับเลยโดยไม่ได้อธิบายหลักการที่ถูกต้องก่อน อุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด ย่อมเกิดขึ้นได้มากกว่ามีครูผู้สอนที่มีประสบการณ์การสอน นั่งอยู่ข้างๆ อย่างแน่นอน

การเรียนนั้นจะแบ่งแยกเป็นพื้นฐานเบื้องต้น สำหรับคนที่ไม่เคยจับรถเลย ไม่เคยรู้จักอุปรกรณ์ต่างในรถเลยว่าอะไรอยู่ตรงไหน ทางเราจะทำการสอนตั้งแต่พื้นฐานเบื้องต้นไปพร้อมๆ กับการปฏิบัติในสนามฝึกหัดก่อน ทำการออกถนนจริง

ทางเราตั้งใจ ใส่ใจ ในการสอน ไปพร้อมๆ กับการปลูกฝังให้นักเรียนทุกคน มีวินัย และมีน้ำใจ ใจในการใช้รถใช้ถนน เพื่ออยากให้นักเรียนที่จบไปเป็นส่วนหนึ่งของการลดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้นด้วย

ความยากง่ายของข้อสอบ ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัตินั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับครูผู้สอน หรือวิทยากรที่ให้การอบรมกับนักเรียนอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับตัวนักเรียนด้วย ที่พร้อมจะเรียนรู้และพัฒนา และตั้งใจกับการเรียนมากน้อยขนาดไหน หลายๆ ท่าน สอบรอบเดียวผ่าน หลายๆ ท่าน สอบ3-4 รอบกว่าจะผ่าน แต่ก็ไม่ลดละความพยายาม

แต่ก็ยังมีอีกหลายๆ ท่านที่ไม่เข้ารับการสอบ สอบไม่ผ่าน ไม่ไปซ่อม ละเลยเห็นว่าเป็นสิ่งไม่สำคัญ
ครูฝากไว้อย่างหนึ่งว่า หากนักเรียนคิดว่า นักเรียนทำได้ นักเรียนก็จะทำได้ค่ะ แต่หากนักเรียนคิดว่านักเรียนไม่มีทางขับรถได้ ไม่มีทางสอบผ่าน นักเรียนก็จะทำไม่ได้

นักเรียนที่มาเรียนกับครู ที่อายุมากที่สุดคือ 61 ปี ความตั้งในทำให้นักเรียนท่านนี้สอบทฤษฎี ผ่านในรอบที่ 2 และสอบปฏิบัติ รอบเดียวผ่าน

เราอยู่เมืองไทย ก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมืองของไทย และให้ความสำคัญกับตรงนี้ อย่ารอให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันก่อนแล้วค่อยมองว่่า "ใบขับขี่นั้นสำคัญ"


สนใจเรียนขับรถยนต์

กับครูผู้มีประสบการณ์การสอน ครูใจเย็น ครูใจดี ครูผู้หญิง หรือท่านมีปัญหาเรื่องการสอบขอรับใบอนุญาติขับขี่ หัดขับกันเองไม่เป็น กลัวเกิดอุบัติเหตุ สอนกันไม่เข้าใจ ทะเลาะกัน มาปรึกษาเราสิคะ เขมจิรา ยินดีให้คำแนะนำทุกท่านค่ะ
โทร. 092-997-4249,063-196-4492

Line ID:  fondrivingschool
https://www.facebook.com/PrachuabDrivingSchool/
http://prachuabdrivingschool.blogspot.compot.com/

http://www.prachuabdrivingschool.com/